ถ้าจะถามถึงเครื่องดื่มประจำประเทศญี่ปุ่นว่าคืออะไรนอกจากสาเก พวกเราหลายๆ คนก็จะพากันร้อง อ๋อ แล้วตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ชาเขียวน่ะสิ เพราะชาเขียวนั้นอยู่อยู่กับประเทศญี่ปุ่นมานับร้อยปี อีกทั้งศิลปะการชงชาเขียวยังเป็นวัฒนธรรมที่สิบต่อกันมาอย่างยาวนานอีกด้วย ถึงแม้ว่าชาส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ชาขาว ชาเขียว ชาเหลือง ชาดำ ชาแดงหรือแม้กระทั่งชาอูหลง ก็ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากต้นชาต้นเดียวกันและมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศจีนด้วยกันทั้งสิ้น แต่ชาเขียวกลับได้รับความนิยมในประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด เนื่องมาจากในสมัยที่การค้าขายระหว่างญี่ปุ่นกับจีนได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ชาวจีนได้นำวัฒนธรรมการดื่มชาเข้ามาในประเทศญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นก็เกิดความชื่นชอบกันเป็นอย่างมาก จึงได้มีการปลูกต้นชาขึ้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ชาในสมัยนั้นมีราคาค่อนข้างแพงจึงเป็นที่นิยมเฉพาะชนชั้นสูง ราชวงศ์ ขุนนาง และพระสงฆ์เท่านั้น ก่อนจะแพร่หลายไปสู่ซามูไร แล้วจากนั้นจึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะนิยมใช้วิธีอัดชาเป็นแท่งแล้วนำมาฝนเมื่อจะใช้งาน โดยชาเชียวแบบญี่ปุ่นจะไม่นิยมคั่วใบชา ทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างจากชาเขียวของจีน หากใครไปประเทศนี้แล้วไม่ได้ลองดื่มชาเขียวแท้ๆ ที่ชงโดยคนพื้นเมือง ก็เปรียบเสมือนว่าเรายังมาไม่ญี่ปุ่นนั่นเอง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนาวจึงนิยมดื่มเครื่องร้อนๆ อย่าง ชา หรือสาเก ตลอดทั้งวัน อย่างน้อย 2 – 5 ถ้วย จึงทำให้ได้สารอาหารอย่างเหมาะสม เราจะสังเกตได้ว่าชาวญี่ปุ่นนั้นมีผิวพรรณเปล่งปลั่งสุขภาพดีกันส่วนมาก
เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า คนอังกฤษนั้นชื่นชอบการดื่มชาเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าดื่มได้เกือบทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะตอนตื่นนอน หลังทานอาหาร เช้า กลางวัน เย็น หลังอาบน้ำ เวลาว่างและก่อนนอน ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าคนอังกฤษจะมีเวลาที่เรียกว่า เวลาน้ำชา หรือที่เรียกว่า Afternoon Tea ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำหรับการจิบชายามบ่ายกับคุกกี้หรือขนมเล็กน้อย เนื่องมาจากว่าในสมัยก่อนนั้น คนอังกฤษจะนิยมทางอาหารหลักๆ เพียงแค่ 2 มื้อเท่านั้น ก็คือ ช่วงเช้าและช่วงเย็น ทำให้ช่วงเวลาบ่ายๆ จะค่อนข้างหิวเป็นอย่างมาก และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นการดื่มชาช่วงบ่าย โดยพระนางแอนนา รัสเซลล์ ดัชเชสแห่งเบดฟอร์ด จึงได้สั่งให้คนนำน้ำชากับคุกกี้ แซนด์วิชชิ้นเล็กๆ มาทานแก้หิว อีกทั่งยังได้เชิญเหล่าขุนนางภายในวังมาร่วมรับประทานและพูดคุยกันด้วย ประเพณีนี้จึงทำสืบต่อกันมาจนกลายเป็นธรรมเนียมของชาวอังกฤษไปในที่สุด ซึ่งชาวอังกฤษนั้นได้รับอิทธิพลการดื่มชามาจากชาวอินเดียเมื่อราวๆ 500 ปีก่อน และในยุคเริ่มแรกนั้น การดื่มชาจะมีในเฉพาะชนชั้นสูงเพียงอย่างเดียวเพราะมีราคาแพงและหลายๆ คนมองเห็นว่าเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือย แต่เมื่อราคาถูกลงความนิยมในการดื่มชาก็แพร่หลายมากขึ้น โดยวิธีการชงชาของชาวอังกฤษจะง่ายกว่าชาในแถบเอเชียที่มักจะวิธีการยุ่งยากและหลายขั้นตอนการจะได้ดื่ม อีกทั่งคนคนอังกฤษนิยมผสมชากับหลายๆ อย่าง และนอกจะมีช่วงเวลาดื่มชาที่แทบจะมีตลอดทั้งวันแล้ว ชาวอังกฤษก็ยังมียังมีปาร์ตี้น้ำชาอีกด้วย ในปัจจุบันชาวอังกฤษดื่มชามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน