ทันทีที่เราหรือญาติพี่น้อง แม้กระทั่งคนรู้จักเกิดอาการป่วยเป็นโรคที่รักษาได้ค่อนข้างยาก และต้องใช้เงินรักษาโรคเหล่านี้สูง ทำให้มีหลายๆ คนหันไปพึ่งยาแบบแผนโบราณและสมุนไพรกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโสมและเห็ดหลินจือที่มักจะมีการบอกต่อๆ กันอยู่เสมอว่าทานอันนั้นอันนี้แล้วดี ทำให้เราตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทานอย่างไหนดี
โดยการรับประทานเห็ดหลินจือและโสมเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยนั้นได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษแล้ว จึงเกิดเป็นที่ถกเถียงว่า ทานอย่างไหนให้ผลมากกว่ากัน และต้องบอกเลยว่า การทานสมุนไพรทั้ง 2 อย่างนี้ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับโรคและร่างกายของเราเป็นหลักเสียมากกว่า อาทิเช่น สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตหรือบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคต่างๆ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรับประทานโสม เพราะโสมนั้นเป็นยาร้อนทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว หรือแม้กระทั่งเห็ดหลินจือที่มีสรรพคุณในการรักษาครอบจักรวาลแต่ก็เป็นที่ต้องสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่อยู่ในระยะเคมีบำบัด เป็นต้น อย่างไรก็ตามพบว่ามีการวิจัยจากหลายๆ ชี้ไปในทางเดียวกันว่า การทานเห็ดหลินจือนั้น ไม่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย จึงทำให้บุคคลทั่วไปที่อยากทานเพื่อบำรุงร่างกายสามารถทานได้นานเท่าที่ต้องการ แต่ในหนึ่งวันก็ไม่ควรให้มากจนเกินไปไม่เช่นนั้นอาจเกิดโทษได้
แต่กระนั้นก็ยังมีบางคนที่เมื่อทานยาหมอแล้วกลับคิดว่าไม่หาย เลยหันไปรับประทานสมุนไพรอย่างเห็ดหลินจือและโสมแทน อาจทำให้อาการแย่ลงไปอีก ดังนั้นเราควรจะรับประทานยาที่หมอให้มาจนหมดไม่ควรหยุดกิน ถ้าหากหมอไม่ได้สั่งเพราะจะทำให้เกิดอาการดื้อยาและรักษายากขึ้นไปอีก